สนับสนุนเนื้อหาโดย
บริษัท อัลตร้า-คอมเพรสเซอร์ จำกัด
สำหรับประเทศไทย นับว่ามีศักยภาพทางด้านการผลิตทั้งในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการ
บริการ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และการจ้างงานจำนวนมากให้แก่ประชาชนในประเทศ โดยการก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมไทยเริ่มในทศวรรษที่ 1980 โดยมาจากการที่ประเทศญี่ปุ่นที่เป็นประเทสอุตสาหกรรมที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกยาวนานตั้งแต่ ค.ศ. 1968 -2011 ถูก IMF บีบให้ลอยตัวค่าเงินให้สูงขึ้นในสนธิสัญญาพลาซ่า (Plaza Accord) จนค่าเงินเยนพุ่งจากราวๆ 100 เยน/ดอลลาร์ US สูงเป็นราวๆ 155 เยน/ดอลลาร์ US อันหมายถึงราคาสินค้าที่ผลิตจากญี่ปุ่นจะพุ่งสูงขึ้นราวๆ 50 %
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว ญี่ปุ่นจึงต้องห่าวิธีลดต้นทุนในการผลิตของตนลง ดังนั้นจึงต้องหาประเทศที่ค่าแรงงานถูกและมีความพร้อมเหมาะสม และทั้งนี้ ในราวๆปี ค.ศ. 1985 ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่ได้รับเลือกนั้น ดังนั้นญี่ปุ่นจึงได้ทยอยเข้ามาเปิดโรงงานผลิตในไทย โดยอุตสาหกรรมของไทยกว่า 70% เป็นกลุ่มบริษัทจากทุนญี่ปุ่น ดังนั้นประเทศไทยจึงเคยชินกับรูปแบบของอุตสาหกรรมการผลิต หรือรับจ้างผลิต
ดังนั้นในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน และมีแบรนด์เป็นของตนเอง จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศให้มีปริมาณ คุณภาพเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันให้ทัดเทียมกับต่างชาติ เพื่อให้อุตสาหกรรมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ การค้า ทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศต่อไปการวางกรอบแนวคิดในการกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย
นอกจากจะต้องคำนึงถึงกระแสโลกาภิวัตน์ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทั้งภูมิประชากรศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ภูมิเศรษฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในองค์รวมแล้ว ยังต้องคำนึงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมรายสาขาที่สำคัญ รวมถึงข้อจำกัดและเงื่อนไขในด้านอื่นๆ ของประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภาพของโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศไทยในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นประเทศไทยจะต้องมีการเตรียมพร้อมในการรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อภาคอุตสาหกรรม โดยบริบทหรือปัจจัยที่ส่งผลต่อการกำหนดทิศทางการ
พัฒนาอุตสาหกรรม ปรากฏตามรายละเอียดในหัวข้อต่อไป
ปัจจัยของอุตสาหกรรมระดับโลก
บริบทของการเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในอนาคต ได้แก่
การให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การรวมกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC:ASEAN Economic Community) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรโลก ซึ่งส่งผลให้ประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ประชากรวัยทำงานมีจำนวนลดลง และ ปัญหาการวิกฤตพลังงานและอาหารที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบต่างๆ อาทิ รูปแบบของตลาด การแข่งขัน การสร้างความร่วมมือ ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป รูปแบบกฎระเบียบ การพัฒนาทางเทคโนโลยี และสภาวะแวดล้อมของสังคม ซึ่งรูปแบบต่างๆ สามารถจัดกลุ่มเป็น 4 ด้านคือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
โดยปัญหาโครงสร้างของประชากรก็พบปัญหาเช่นกัน
เนื่องจากคนเลือกที่จะมีชีวิตโสด หรือไม่มีลูกมากขึ้นดังนั้นเด็กเกิดใหม่ก็จะน้อยลงๆ
ดังภาพ / ฐาน = เด็กอายุน้อยๆ ไล่ไปถึง ยอด = คนวัยชรา
ในปี 2503 = ฐานกว้าง หมายถึงมีจำนวนเด็กมหาศาล ส่วนยอดแคบหมายถึงมีคนชราจำนวนไม่มาก
ในปี 2523 = ฐานยังกว้าง แต่คนในวัยหนุ่มสาวก็มากขึ้น เป็นแรงงานพัฒนาประเทศได้มาก บริโภคมาก เศรษฐกิจก็โตมาก
ในปี 2543 = คนวัยผู้ใหญ่เริ่มมากขึ้น ในขณะที่ฐานแคบลงๆ เด็กไม่ค่อยเกิด
อนาคตในปี 2563 = ฐานแคบ เด็กเกิดใหม่น้อย แรงงานน้อยลง ในขณะที่คนชรามีสูงขึ้น
รัฐจะต้องจ่ายงบเลี้ยงคนชรามากขึ้น ไม่ว่าจะค่าสวัสดิการหรือพยาบาล ในขณะที่แรงงานเราน้อยลง
ประเทศจะจนลงๆ ไม่เติบโต คนเก่งๆหน่อยก็จะหนีไปประเทศที่กำลังโต
ภูมิเศรษฐศาสตร์ ภูมิประชากรศาสตร์ และ สภาพภูมิอากาศ
ภูมิเศรษฐศาสตร์ จะเกิดการรวมกลุ่มเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ เช่น ในภูมิภาคอาเซียน มีการย้าย
ศูนย์กลางการพัฒนาในกลุ่มประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน (BRICs - Brazil, Russia, India, and China) การลดลงของกำลังซื้อในกลุ่มประเทศอเมริกา และยุโรป ผลกระทบจากข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายเพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของบทบาทของภูมิภาคเอเชียมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก
สนับสนุนเนื้อหาโดย
Specialist in compressed air products
Ultra Compressor on Facebook
Contact Ultra Compressor
Ultra Compressor on Facebook
Contact Ultra Compressor
20 ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 48 แยก 13 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพฯ 10250
โทร 0-2726-2311, E-mail sales@ultra-compressor.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น